MoviE

  • Love of Burapha University

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กาลครั้งหนึ่ง ณ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล


สถาบันวิทยาสตร์ทางทะเลมีการนำหลักการและทฤษฎีการการเรียนรู้ของ เอการ์ เดล ที่จัดรูปแบบของสื่อตามลักษณะการเรียนรู้จากนามธรรมไปสู้รูปธรรม โดยเน้นการเรียนรู้จากจากประสบการณ์จริง ให้ผู้ที่ศึกษาได้เห็นและสัมผัสจากของจริง อันจะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความสัมฤทธิ์สูง เพราะผู้เรียนจะสามารถจดจำรูปร่างและลักษณะของสัตว์ที่ศึกษาชนิดต่างๆ ได้ดีกว่าการฟังจากคำบอกเล่าของครูอาจารย์ อีกทั้งยังมีการจำลองสัตว์ที่เป็นสิ่งอันตรายหรือไม่มีอยู่แล้วใจปัจจุบัน วัฒนธรรมประเพณีของผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่กับทะเลรวมถึงการประกอบอาชีพ ไว้ในลักษณะหุ่นจำลองเพื่อเป็นประโยชน์และง่ายต่อการศึกษา มีการจัดนิทรรศการเพื่อให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ทะเล มีการนำเสนอความรู้ในรูปแบบของโทรทัศน์การ์ตูนซึ่งเป็นสื่อที่เร้าความสนใจของผู้ที่ศึกษาได้เป็นอย่างดี มีการนำวัสดุกราฟิก มาเป็นสื่อเพื่อแสดงความหมายหรือข้อเท็จจริง แนวคิด และเสริมความเข้าใจที่อาศัยส่วนประกอบที่เป็นรูปภาพ สัญลักษณ์ และแผนภาพ อย่างอย่างลงตัว อาทิเช่น การใช้ภาพเพื่อสื่อถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่รวมกัน โดยภาพที่นำเสนอนั้นจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ภาพเสมือนจริง จะเป็นการถ่ายภาพจากสิ่งมีชีวิตจริงมาประกอบการอธิบายเพื่อให้ผู้เรียนนั้นเห็นลักษณะของสิ่งมีชีวิตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลักษณะที่สอง เป็นลักษณะของภาพการ์ตูน ที่วาดขึ้นหรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยทำ เป็นการช่วยเพิ่มแรงจูงใจที่จะเข้ามาศึกษาอีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มความเข้าใจให้ผู้ที่ศึกษาอีกด้วย นอกจากจะมีภาพที่นำเสนอแล้ว ยังมีคำบรรยายใต้ภาพซึ่งการใช้ตัวอักษรนั้นก็เลือกใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย มีการไล่สีสัน มีการจัดวางที่สมดุล ซึ่งช่วยเพิ่มความสนใจให้แก้ผู้ที่ศึกษาได้เป็นอย่างดี มีการจัดแสดงตู้อันตรทัศน์ ที่สื่อถึงความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่แนวชายฝังทะเล แสดงสถานที่และสภาพแวดล้อมในสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล แสดงการเลี้ยงปลากระชังตามแนวชายฝั่งทะเลและวิธีการทำโป๊ะเพื่อจับปลา มีการแสดงป้ายนิเทศน์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ในตระกูลมอลัสการ์ โดยมีการนำเสนอแบบเชื่อมโยงความสัมพันธ์ มีภาพประกอบพร้อมคำบรรยาย ให้สีสันสวยงาม การนำเสนอห่วงโซ่อาหาร ก็นำเสนอในรูปแบบของแผนภูมิที่เป็นขั้นตอน คือการกินกันเป็นทอดๆ อีกทั้งตามตู้ปลาที่จัดแสดงก็มีคำบรรยายประวัติ ชื่อวงศ์ ลักษณะเฉพาะของสัตว์นั้นๆ ประกอบอีกด้วย วัสดุกราฟิกอีกชนิดหนึ่งที่มีการจัดแสดง คือ กระบะทราย เป็นทัศนะวัสดุ 3 มิติที่นำเสนอเรื่องราวจำลองคล้ายของจริงบนพื้นทรายและมีวัสดุต่างๆสามารถสัมผัสได้โดยไม่มีวัสดุใดครอบอยู่ ซึ่งกระบะทรายที่สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้จัดแสดงไว้นั้น จะนำเสนอความรู้ในเรื่องของเปลือกหอยชนิดต่างๆที่มีอยู่ในทะเลของประเทศไทย ซึ่งการจัดแสดงทั้งหมดที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ก็คำนึงถึงหลักการเทคโนโลยีต่างๆ ที่ต้องการให้ผู้ที่ศึกษานั้นได้รับความรู้ อีกทั้งคุณประโยชน์อย่างสูงสุดและมีการเผยแพร่ความรู้ที่ได้รับให้กับบุคคลอื่นที่สนใจศึกษาต่อไป

                                                               

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สรุป สื่อการสอน

                 สื่อการสอน หมายถึง ตัวกลางที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้  ประสบการณ์  ความคิดและทักษะต่าง ๆ ไปสู่ผู้เรียน โดยสื่อเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ  เพราะสื่อจะเป็นตัวการสำคัญที่นำเอาความรู้  ความคิด  ประสบการณ์และทักษะต่าง  ไปสู่ผู้เรียน  กระบวนการเรียนการสอนจำเป็นต้องใช้สื่อ  สื่อการสอนทำให้ความเป็นนามธรรมไปสู่รูปธรรม

                  สื่อการสอนแบ่งได้ 3 ลักษณะ ได้แก่
    แบ่งสื่อการสอนตามลักษณะภายนอกและคุณสมบัติของสื่อการสอน  มี  3  ประเภท
1.        สื่อที่ไม่ต้องฉาย  (non  projected  material)
2.        สื่อที่ต้องฉาย  (projected  material)
3.          สื่อที่เกี่ยวกับเสียง  (Audio material )
          สื่อการสอนประเภทเทคนิคและวิธีการ(Techniques  and  Methods)  สื่อการสอนที่มีลักษณะเป็นแนวความคิด  รูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน  หรือเทคนิค  ที่ไม่มีลักษณะทางกายภาพเป็นวัสดุหรืออุปกรณ์  แต่สามารถใช้วัสดุอุปกรณ์มาช่วยในการดำเนินงานได้
    แบ่งตามแนวคิดเทคโนโลยีการศึกษา
                1.  วัสดุ  -  สื่อที่ผลิตขึ้น  เช่น  รูปภาพ  แผนภูมิ
                2.  อุปกรณ์  -  เครื่องมืออุปกรณ์  สำเร็จรูป  ทั้งที่สามารถใช้ได้ด้วยตนเอง  เช่น  หุ่นจำลอง  และสื่อที่ต้องใช้ร่วมกับวัสดุ  เช่น  วีดิทัศน์  สไลด์
               3.  วิธีการ  -  กิจกรรม  เกม  ศูนย์การเรียน  ทัศนศึกษา  สถานการณ์จำลอง  แหล่งความรู้ชุมชน

                 สื่อการสอน
         สื่อการสอนประเภทวัสดุ  (Software  or  Material)  เป็นสิ่งที่ได้รับบรจุเนื้อหาสาระเรื่องราวหรือความรู้ไว้ในลักษณะต่าง ๆ
         สื่อการสอนอุปกรณ์  (Hardware)  เป็นตัวผ่านที่ทำให้ข้อมูล  ความรู้  หรือสาระ  ที่อยู่ในวัสดุสามารถถ่ายทอดออกมา

ผู้หญิงทั้งหลาย อ่ า น และ จำ ไว้ให้ดี

มีอะไรบ้างที่ผู้ชายไม่อยากเจอะเจอในชีวิตเกี่ยวกับผู้หญิงของเขา . . . ผู้หญิงรู้ไว้ก็ดี เป็นการป้องกันไม่ให้เขาหมางเมินไปจากเรา ลองดูซิว่าสิ่งที่ผู้ชายไม่ชอบมีอะไรบ้าง
          1. ไม่ชอบให้ผู้หญิงมาออกคำสั่ง (ก็มันรู้สึกเสียเกียรติเสียหน้า)

          2. ไม่ชอบผู้หญิงขี้บ่น จู้จี้จุกจิก (ก็มันน่ารำคาญ จะเป็นแฟนหรือเป็นแม่เรา)

          3. ไม่ชอบให้ชายมาชำเลืองมองหรือพูดคุยกับผู้หญิงของเขา (หึงนี่ ช่วยไม่ได้เพราะรักหรอก)

          4. ไม่ชอบให้ผู้หญิงใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนเกินเหตุ (ให้เหลือไว้ให้เขาใช้บ้างนะ ถือว่าเมตตาเถอะ)

          5. ไม่ชอบให้ผู้หญิงตบตีกัน (ก็กลัวตอนเข้าไปห้ามจะเจอลูกหลง)

          6. ไม่ชอบให้ผู้หญิงมายุ่งเรื่องของเขามากเกินขอบเขต (เขาก็อยากมีความลับบ้าง รู้หมดมันก็ไม่ลับนะสิ)

          7. ไม่ชอบผู้หญิงใช้อารมณ์ (มันดูน่าเกลียด ไม่อยากให้เธอเป็นนางยักษ์)

          8. ไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้ามากจนเกินไป (เดี๋ยวหน้าหนาจัด)

          9. ไม่ชอบผู้หญิงที่รู้ทันมากเกินไป (เดี๋ยวเขากระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้)

          10. ไม่ชอบที่ต้องตามง้อผู้หญิงมากจนเซ็ง (โตๆ กันแล้ว อย่างอนให้มากเลยนะ)

ปกติผู้ชายชอบผู้หญิงแบบไหนเอ่ย?
          1. ชอบผู้หญิงที่ให้เกียรติตนโดยเฉพาะต่อหน้าผู้อื่น (รู้สึกได้หน้าที่ผู้หญิงอยู่ในการควบคุม)

          2. ชอบผู้หญิงพูดจาหวานๆ ไพเราะ ยิ้มหวาน (รู้สึกเหมือนมีคนกำลังให้บริการ)

          3. ชอบผู้หญิงที่สดชื่น สดใส ร่าเริง มีอารมณ์ขันบ้าง (รู้สึกหายเครียดที่โดนเจ้านายว่ามา)

          4. ชอบผู้หญิงเอาอกเอาใจเก่งในทุกเรื่อง (เขาจะได้รู้สึกเหมือนอาเสี่ยไง)

          5. ชอบผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ อบอุ่น อยากอยู่ใกล้ๆ (เป็นสิ่งที่เขาโหยหาตลอดเวลาแต่ไม่กล้าเปิดเผย)

          6. ชอบผู้หญิงแกล้งโง่ แต่เก่ง มีความรู้ ความสามารถ (เขาจะได้รู้สึกมีความภูมิใจเหลืออยู่บ้างไง)

          7. ชอบผู้หญิงงอนนิดๆ (เขาจะได้ง้อได้ไง แต่อย่าให้ง้อบ่อยจนเขาเบื่อล่ะ)

          8. ชอบผู้หญิงที่แต่งตัวดูเรียบร้อย แต่แฝงด้วยความเซ็กซี่ มีเสน่ห์ และโรแมนติก (เพื่อนและคนใกล้ชิดได้อิจฉาไง)

          9. ชอบผู้หญิงออเซาะเก่ง (คิดว่าเขาเป็นรัฐมนตรีต้องออเซาะโครงการถึงจะได้รับการอนุมัติ)

          10. ชอบผู้หญิงไฟแรงสูง . . .

อันนี้เป็นคำแนะนำเฉพาะผู้หญิง (แต่ผู้ชายก็ควรอ่านไว้)

          1. ถ้าคุณคิดจะมัดใจชายด้วยเสน่ห์ปลายจวักเพียงอย่างเดียว คุณคิดผิดถนัด

          2. อย่าไว้ใจผู้ชายที่ชอบคุยโอ้อวดว่า เขาเป็นพระราชาของครอบครัว ถ้าเขาโกหกเรื่องนี้ได้ เรื่องอื่นก็ไม่น่าไว้วางใจ

          3. ถ้าคุณอยากคบผู้ชายที่รู้จักเอาใจ จงหาแฟนไม่หล่อพวกนี้มีความพยายามสูง

          4.หัวใจผู้ชายส่วนใหญ่เหมือนห้องขังในเรือนจำ ต่อให้มีสักกี่ห้องก็ไม่พอใส่นักโทษ

          5. ได้แฟนเด็ก หรือแก่ก็เหมือนกัน เพราะพวกผู้ชายไม่ค่อยรู้จักโต

          6. ระวังผู้ชายที่มีข้ออ้างทาลิปมันกับรองพื้นทุกครั้ง และใช้เวลาแต่งตัวแต่งหน้านานกว่าคุณ

          7. งานบ้านที่ไม่เคยสำเร็จ คือ งานที่แม่บ้านออกปากให้สามีช่วย

          8.หากคบกันไปนานๆ คุณจะพบว่าผู้ชายส่วนใหญ่นิสัยเหมือนกัน ต่างกันก็เพียงใบหน้า แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณจำแฟนคุณได้

          9. ผู้ชายมีนิสัยคล้ายแมว ชอบตักที่อบอุ่น รื้อข้าวของกระจุยกระจาย ดื้อเงียบ และบางครั้งก็ย่องเข้ามาในห้องนอนตอนดึกๆ

          10. เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพบชายในอุดมคติ เข้ากันได้ ให้เกียรติผู้หญิง มีทุกอย่างพร้อมสำหรับร่วมชีวิตคู่ คุณจะพบว่าเขามีภรรยาแล้ว

          11. ผู้ชายเกลียดคำสองคำ "อย่า" และ "หยุด" แต่พอใจเมื่อนำมาใช้ร่วมกัน

          12. สามีก็เหมือนเด็กทารก จะดูน่ารักเป็นพิเศษถ้าไม่ใช่ลูกของเรา

          13. การทำหน้าไร้เดียงสา ใช้ได้ผลเฉพาะก่อนแต่งงาน




วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยคนรักของหนูแป้ง ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย  แอบมีความรักกับ หนูแป้ง หนูแป้งสาวงามแห่งหมู่บ้านทุ่งมะพร้าวเตี้ยสาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน  ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง  และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย
ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้านฮะฮ่า..ข้านี่แหละผู้ใหญ่บ้านทุ่งมะพร้าวเตี้ย.. แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย  แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร  มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน  แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน  แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก  ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้   ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว  โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง  คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ   ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน  ฉับพลัน!!...ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯผู้เป็นพ่อ  ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ  อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง  อารามดีใจสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่   ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป  เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว ...  รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน  แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน  ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข  เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา  ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..
"พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย"
ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม  พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป"  ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม "ขนมแห่งความรัก" หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า 'ขนม ค-ร-ก' นั่นเอง



เพลงที่เพราะที่สุดเท่าที่เคยฟังมาเลย

สื่อการเรียนการสอน

       มีการกล่าวถึงความหมายของ  สื่อการสอนประเภทวัสดุ 
    ว่าเป็น  สิ่งหรือวัสดุสิ้นเปลือง  ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร
                ตามความเห็นของกระผม สื่อการเรียนการสอนไม่ว่าจะเป็นสื่อประเทภใด ก็มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อการศึกษาทั้งสิ้น การที่มีคำกล่าวว่า สื่อการสอนประเภทวัสดุนั้น ว่าเป็นสิ่งหรือวัสดุที่สิ้นเปลือง คำกล่าวนี้มีทั้งข้อที่ผมเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย   ข้อที่ผมเห็นด้วยคือ สื่อการสอนประเภทวัสดุ อันได้แก่   กระดาน ชอล์ค ภาพ เปลือกหอย หนังสือพิมพ์ เป็นต้น เป็นสิ่งที่ใช้แล้วอาจจะเสียหาย ชำรุดหรือใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องซื้ออยู่ตลอดเวลา ส่วนข้อที่ผมไม่เห็นด้วย คือ สื่อประเภทวัสดุมีประโยชน์และคุณค่าต่อการเรียนการสอน ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี สามารถถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ทัศนคติ แนวคิด และทักษะในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามจุดมุ่งหมาย แต่การจะใช้สื่อการสอนให้มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสม กับจุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระ การสอนที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องให้เหมาะสมกับลักษณะและความสามารถหรือพัฒนาการด้าน ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และจิตใจ อีกทั้งยังต้องเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ได้ฝึกปฏิบัติและเรียนรู้ด้วยตนเองให้มากที่สุด 



กรวยประสบการณ์ของ Edgar Dale แบ่งสื่อการสอนโดยยึดหลักอะไร / สรุปสาระสำคัญ
                                  
          เอดการ์ เดล (Edgar Dale)        
                                                                           


 เอดการ์ เดล (Edgar Dale) ได้จัดแบ่งสื่อการสอน โดยยึดเอาความเป็นรูปธรรมและนามธรรมเป็นหลักในการแบ่งประเภทของสื่อการสอน เพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างโสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ ในขณะเดียวกันก็แสดงขั้นตอน ของประสบการณ์การเรียนรู้   และการใช้สื่อแต่ละประเภทในกระบวนการเรียนรู้ด้วย โดยพัฒนาความคิดของบรุนเนอร์ (Bruner)ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา ก่อนนำสร้างเป็น กรวยประสบการณ์” (Cone of Experience) โดยสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้
     1. ประสบการณ์ตรงและมีความมุ่งหมาย (Direct Purposeful Experience) ถือเป็นประสบการณ์ที่เป็นรากฐานของประสบการณ์ทั้งหมด เนื่องจากผู้เรียนได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง และเป็นรูปธรรมมากที่สุด หรือเกิดจากการกระทำของตนเอง เช่น การสัมผัส การเห็นการเรียนจากของจริง และการลงมือกระทำ เป็นต้น

     2. ประสบการณ์รอง(Contrived Experience)   เป็นการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนเรียนจากสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด ซึ่งอาจเป็นการจำลองหรือของจำลองก็ได้ เช่น การสร้างท้องฟ้าจำลอง การใช้หุ่นจำลอง ตัวอย่าง ตู้อันตรทัศน์หรือสื่อสามมิติ เป็นต้น

     3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง(Dramatized Experience) เป็นประสบการณ์ที่จัดขึ้นแทนประสบการณ์จริง ซึ่งเป็นการแสดงบทบาทสมมติ หรือการแสดงละคร เพื่อเป็นการจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนในเรื่องที่มีข้อจำกัดด้วยยุคสมัย เวลาและสถานที่ เช่น การแสดงละครประวัติศาสตร์ ละครพื้นเมือง หรือเรื่องราวที่เป็นนามธรรม เป็นต้น

     4. การสาธิต (Demonstration) คือ การอธิบายข้อเท็จจริง ความจริง และกระบวนการที่สำคัญที่แสดงให้เห็นเป็นลำดับขั้นตอนของการกระทำนั้น อาจเป็นการแสดงหรือกระทำประกอบคำอธิบาย เช่น การฉายภาพยนตร์ สไลด์ และฟิล์มสตริป แสดงเนื้อหาในส่วนที่ต้องการสาธิต เป็นต้น

     5. การศึกษานอกสถานที่ (Field Trip) เป็นการให้ผู้เรียนได้รับและเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆภายนอกสถานที่เรียน เช่น การเยี่ยมชมสถานที่ประวัติศาสตร์ต่างๆ การสัมภาษณ์บุคคลที่มีความรู้ เป็นต้น

     6. นิทรรศการ (Exhibition)  เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ การจัดป้ายนิเทศ เพื่อให้ความรู้และสาระประโยชน์แก่ผู้ชม โดยการนำประสบการณ์หลายอย่างมาผสมผสานกันมากที่สุด

     7.โทรทัศน์ (Television) เป็นประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการเห็นและได้ยิน เสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง โดยโทรทัศน์ยังสามารถถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเรื่องราวและสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกรายการไว้สำหรับศึกษาต่อในภายหลังได้อีกด้วย

     8. ภาพยนตร์(Motion Picture)   เป็นประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการเห็นและได้ยินเช่นเดี่ยวกับโทรทัศน์ แต่เรื่องราวต่างๆจะทุกบันทึกไว้ในลักษณะของฟิล์มหรืออยู่ในรูปแบบของ สื่อDVD หรือ VCD


     9. การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง (Recording, Radio and Still Picture) การบันทึกเสียงอาจอยู่ในรูปของแผ่นเสียงหรือเทปบันทึก วิทยุเป็นสื่อที่ให้เฉพาะเสียง ส่วนภาพนิ่งอาจเป็นภาพวาด ภาพล้อ หรือภาพเหมือนจริงก็ได้ ข้อมูลที่อยู่ในสื่อดังกล่าวสามารถให้ประสบการณ์กับผู้เรียนได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ก็ได้ แต่สามารถเข้าใจเนื้อหาเรื่องราวที่สอนได้ เนื่องจากใช้วิธีการฟังและดูเท่านั้น
                                                                           
    10. ทัศนสัญลักษณ์(Visual Symbol) เป็นประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมมากขึ้น จำเป็นต้องคำนึกถึงประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นพื้นฐานในการเลือกนำไปใช้ เช่น แผนภูมิ แผนที่ แผนสถิติ ภาพโฆษณา การ์ตูน และสัญลักษณ์ต่างๆ เป็นต้น
                                                                             
    11. วจนสัญลักษณ์(Verbal Symbol) เป็นประสบการณ์ขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นขั้นนามธรรมมากที่สุด ไม่มีส่วนคล้ายคลึงกับของจริง ได้แก่ ตัวหนังสือในภาษาเขียน   เสียงของคำพูดในภาษาพูด เป็นต้น